สวัสดีปีใหม่ 2023 จากเจ้าของบล็อก

สวัสดีปีใหม่จากเจ้าของบล็อกค่ะ!

(ในเดือนกุมภาพันธ์)

มาอัพบล็อกเพื่อให้ทราบว่ายังอยู่ดีค่ะ แม้จะล้มลุกคลุกคลานจากการหางาน ที่ได้งานแล้วก็ตกงานในเวลาอันสั้น เรียกได้ว่าอยู่ในทางแยกของชีวิตของจริง ไม่รู้ว่าควรเดินไปทางไหนดี (ทั้งนี้เราก็ทำใจยอมรับกับชีวิตที่เป็นอยู่มากขึ้น อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด)

ส่วนความสนใจในตอนนี้ก็ ปล่อยมือจากรักที่เกิดผิดเวลาใน Merry Christmas Mr.Lawrence มาสู่แสงสีเสียงแห่งร็อคแอนด์โรลของ Velvet Goldmine โดยนั่งฟังเพลงประกอบวนไปด้วย

มีเรื่องมาพูดคุยกับเท่านี้แหละค่ะ

ว่าแล้วก็ขอให้ทุกคนที่หลงผ่านเข้ามาที่บล็อกนี้ มีความสุขกับชีวิตในปีนี้ด้วยนะคะ!

เรียนจบ กับการเติบโตเป็นผู้ใหญ่

สวัสดีค่า ผู้ติดตามบล็อกทุกท่าน (ถ้ามันมีอะนะ) เจ้าของบล็อกมีเรื่องอยากจะประกาศให้ทราบว่า

นางสาวออมเรียนจบมหาลัยแล้วค่ะ!

แล้วเดือนหน้า ถ้านับโพสแรกที่ลงของบล็อกนี้ (20 กันยายน) บล็อกนี้ก็จะมีอายุอานาม 6 ปีแล้วด้วยเหมือนกัน

มองกลับไป เรียกได้ว่ามาไกลพอสมควร จากเด็กผู้หญิงผู้อยากเรียนฟิล์ม กลายมาเป็นเด็กเอกหนังสือพิมพ์ด้วยความใจเสาะของตัวเอง ไม่สามารถทำงานภายใต้แรงกดดันได้ แต่…เหมือนหนีเสือปะจระเข้ นึกว่าจะได้นั่งเขียนงานสวย ๆ สุดท้ายก็ต้องลงพื้นที่ทำงานเหมือนกัน ไปสัมภาษณ์คนนู้นคนนี้ที ปั่นงานหามรุ่งหามค่ำไม่ต่างกันเท่าไร

ชีวิตเด็กเอกหนังสือพิมพ์ของดิฉันก็ไม่ได้สวยงามมากหรอก เหตุจากการย้ายเอกกระทันหัน เลยมีปัญหาเรื่องการลงวิชาและการออกเกรด ต้องให้อาจารย์ช่วยตามเรื่องแล้ว ตามเรื่องอีก จนแบบ เออ เป็นลิสต์ที่ต้องทำทุกเปิดเทอมใหม่ในปี 3-4 ว่ามึงต้องเขียนเอกสารขอลงเรียนวิชานี้เป็นกรณีพิเศษ พร้อมกับการทวงเกรดกับสำนักทะเบียน

ทั้งหมดนี้ เรียกได้ว่าชีวิตเจ้าของบล็อกผกผันเพราะความกลัวกันเลยทีเดียว ทั้งหนีจากเอกหนึ่งไปอีกเอกหนึ่ง และการไม่ยอมเลือกเรียนสายภาษา เพราะกลัวเขียน essay ไม่ได้ ทั้ง ๆ ที่ก็ไม่ใช่ทุกคนในสายนั้นจะเขียนได้ตั้งแต่แรกหรอก

ดิฉันกับความรู้สึกที่มีอยู่ตลอดเวลาในชีวิตการเรียนมหาลัย

ในส่วนของบล็อกนั้น จากที่ตั้งปณิธานไว้ว่าจะเป็นบล็อกรีวิวและแปลเพลง ก่อนมาเน้นแปลเพลงอย่างเดียว เพราะการเขียนรีวิวหนังและหนังสือ ใช้พลังงานหนักมาก พร้อมกับไม่ได้มีรูปแบบการเขียนตายตัว กลัวคนอ่านงงว่าทำไมแนวการเขียนเปลี่ยนไปมา สุดท้าย เลยเขียนเป็นสเตตัสสั้น ๆ ในเฟซบุ๊กส่วนตัวตัวเอง โดยลืมไปว่าตัวเองเปิดเพจไว้ … ทำไมมึงถึงไม่เอาลงเพจด้วยวะ!

หลังจากเราก็เปิดเพจ แต่ก็เป็นคนขี้เกียจทำ โพสบ้าง ไม่โพสบ้าง กลายเป็นเพจร้างในที่สุดหลังขึ้นอยู่ปี 3-4 เพราะงานหนักขึ้น (ทำนิตยสาร หนังสือพิมพ์มหาลัย และฝึกงาน) แต่ยังมีร่องรอยอารยธรรมหลงเหลืออยู่ ทั้งรีวิวต่าง ๆ และคลิปสัมภาษณ์ซับไทยต่าง ๆ ที่ลงมือทำทำซับกับแปลเอง

6 ปี กับบล็อกนี้ ทักษะภาษาการแปลก็เปลี่ยนไปด้วยเช่นกัน จะดีขึ้นหรือแย่ลงก็ไม่รู้เหมือนกัน…

6 ปี กับบล็อกนี้ ที่หลัง ๆ ก็เริ่มเขียนบทความขนาดยาวลงบล็อก เพราะความชอบในสิ่งนั้น ๆ

6 ปี กับบล็อกนี้ ตั้งแต่ช่วงมัธยมจนถึงมหาลัย จากวัยรุ่นจนเป็นผู้ใหญ่ ซึ่งความเคว้งคว้างเกิดขึ้นในใจทันทีที่หน้าตรวจสอบจบขึ้นว่า “COMPLETE”

ตัวเราที่เรียนจบในช่วงเวลาที่เลวร้ายที่สุด และไม่รู้ว่าจะทำอะไรต่อกับชีวิต ทางครอบครัวเองก็คาดหวังให้ออกมาหางาน ทำงานเลยทันที ทั้งทีงานก็ไม่รู้ว่าจะหาได้หรือเปล่า เพราะนอกจากช่วงเวลาในตอนนี้แล้ว สายที่เรียนก็ไม่ใช่สายงานที่เป็นต้องการในตลาดโลก เผลอ ๆ อาจไม่ได้งานตรงสายด้วย

เรียนก็เรื่อยเปื่อย เหมือนเก็บความรู้กับสะสมประสบการณ์ชีวิตในมหาวิทยาลัย ไม่ได้หาเรียนออนไลน์หรืออบรวมเก็บใบประกาศฯ แถมเกลียดการร่วมกิจกรรมด้วย สิ่งเดียวที่เข้าร่วมคือชมรมวรรณศิลป์ ที่โชคดีมาก เพราะทุกคนในชมรมเป็นคนที่พูดภาษาเดียวกัน

เหมือนมหาลัยคือการปลดล็อกคลาสผู้ใหญ่ แต่เผอิญว่า เกมยังบอกเราว่าต้องทำอะไรต่อ แต่ในชีวิตจริงไม่มีอะไรแบบนั้นให้ไง – ดิฉันไม่รู้ว่าควรจะเอายังไงต่อกับชีวิตดีต่อนี้

สภาพดิฉันตอนนี้

สรุปแล้ว ใจความของโพสนี้คือ ดิฉันจบมาเป็นลูเซอร์ค่ะ พร้อมไร้ซึ่งคุณสมบัติการเป็นผู้ใหญ่โดยสิ้นเชิง

(อ๋อ อีกอย่าง ฉันก็จะทำบล็อกนี้ต่อจนกว่าจะตายนั้นแหละค่ะ ขอบคุณทุกๆ คน ที่เข้ามาอ่านแปลเพลและบทความที่ฉันเขียนนะคะ)

ไพเราะจับใจ – Lucy Rose Bangkok Show 2019

กลับมาอีกครั้งกับบันทึกการดูคอนเสิร์ตของเจ้าของบล็อก และคอนเสิร์ตแรกในปี 2019 ก็คือ Lucy Rose นั่นเอง /รัวกลอง

ต้องบอกก่อนว่าเราเป็นแฟนเพลงเขามาตั้งแต่อัลบั้มแรก แถมเขามาเล่นที่เมืองไทยสองครั้งแล้ว (ครั้งนี้เป็นครั้งที่สาม) โดยผู้จัดที่แสนน่ารักอย่าง Medium Rare Live แต่เจ้าของบล็อกไปไม่ได้ในสองครั้งแรก เพราะอะไร? เพราะว่าเขาจำกัดอายุค่า แล้วอิเจ้าของบล็อกอายุไม่ถึงเกณฑ์ค่า

12190013_1655589171371166_107894461632921633_n

พอมารอบที่สามในครั้งนี้ ยี่สิบแล้วจ้า อย่าได้ห้ามกูอีกเลย

สถานที่จัดคือ Live Arena RCA ตอนแรกเราก็ไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน เออ แต่คงอยู่แถวโรงหนัง House ที่ไปดูบ่อยๆ มั้ง ปรากฏคืออยู่ข้างๆกันเลยจ้า แต่ก็หลงนิดหน่อยเพราะไม่มีป้ายบอกอะไรเลย สภาพอากาศตอนนั้นคือร้อนอบอ้าวเพราะฝนตกปรอยๆ ทุกคนที่มาก็เข้ามาหลบฝนกันในร่ม จนตอนท้าย เขาก็ปล่อยให้เข้าฮอลก่อนประมาณ 10 นาที

IMG_20190616_202026

พอเข้าไปปุ๊ป เห็นสภาพเวทีที่สูงจากคนดูก็ … นะ ชีวิตดีๆที่ลงตัว แล้วคนก็เริ่มจับจ้องที่นั่งกัน พากันนั่งลงรอพร้อมฟังเพลงจาก playlist ที่ตัวลูซี่เป็นจัดเอง สามารถกดฟังได้ที่นี่

โชคดีที่คอนเสิร์ตเลทไปแค่ 10 กว่านาที ทุกคนรับรู้ได้ว่าศิลปินกำลังจะมา เพราะคนดูแลปิดแอร์จ้า คิดว่าเป็นมาตรการเดียวกับคอนเสิร์ต Damien Rice ที่รายนั้นเองก็ปิดแอร์ เพราะเสียงแอร์มันรบกวนเสียงดนตรี ซึ่งเป็นเรื่องยอมรับได้เพราะโฟลก์เนี่ยก็ควรได้ยินชัดๆเนอะ

ลูซี่เปิดคอนเสิร์ตด้วยการเล่นเพลงจากอัลบั้มใหม่ No Words Left อย่าง Solo(w) และโดยมากเพลงที่เธอเล่นก็เป็นเพลงจากอัลบั้มล่าสุด ปนกับอัลบั้มที่สาม Something’s Changing และอัลบั้มแรก Like I Used to มีเพลงจากอัลบั้มสองแค่ Nebraska ซึ่งเป็นเพลงที่เราชอบมากจากอัลบั้มนั้น /กราบ

IMG_20190616_212153

ระหว่างเปลี่ยนเครื่องดนตรี ลูซี่ก็คอยคุยกับผู้ชมด้วย แล้วก็พบว่าเธอตลกมาก อย่างเช่น “คนที่คอยเอาเครื่องดนตรีมาให้ฉันคือสามีฉันเอง ดูสิ่งที่เขาทำให้ฉันสิ แล้วฉันตอบแทนอะไรให้เขา ร้องเพลงเศร้าๆเกี่ยวกับเรา” มุกส่วนมากก็เป็นเรื่องที่เธอเอาแต่แต่งเพลงเศร้า ขอให้คนดูอดทนไปด้วยกัน เพราะตัวเธอก็ร้อน “มันคงจะดีกว่านี้ถ้าฉันเล่นเพลงร็อค พวกเราจะได้เปิดแอร์กัน” พร้อมกับแนะนำ เบน นักดนตรีที่เล่นกับเธอ

IMG_20190616_222052

เสียงลูซี่ในการแสดงสดแทบจะไม่แตกต่างกับเสียงที่อัดในเพลง คนที่ชอบความ improvise อาจจะเฉยๆ แต่สำหรับเรา เราชอบความแน่นอน ไม่เหวอตอนฟังร้องสด – รู้ตัวอีกทีงานก็จบแล้ว เป็น Live สั้นๆ ประมาณชั่วโมงกว่า รวมกับ encore ที่เป็น encore แบบเหวอแดก! เธอบอกว่าเธอจะบอกทุกคนให้รู้ตัวก่อนว่าจะจบ แล้วให้ทุกคนปรบมือ ก่อนจะเล่นอีก เพราะเธอคิดว่าการเดินไปหลังเวที คนปรบมือแล้วเธออกมาอีกมันค่อนข้าง awkward สำหรับเธอ เพลงสุดท้ายที่เล่นคือ Song After Song ซึ่งนี่บ่อน้ำตาแตกจ้า…

จขบ.ตัดสินใจยืนแกร่วอยู่ในฮอลสักพักหนึ่ง คาดหวังในใจว่าลูซี่จะออกมาหาคนดู แล้วเขาก็ออกมาจริงๆ ค่า นี่ได้กอดเขาทีหนึ่ง บอกเรื่องที่ว่าอยากมาดูตั้งแต่รอบแรกที่มาแล้วแต่อายุไม่ถึง แล้วขอถ่ายรูปด้วยอีก พูดไปมือสั่นไป 5555

IMG_20190616_225146.jpg
ยืนต่อแถวคุยกัน

ก็เป็นคอนแรกของปีที่ดี เพลงเพราะ ได้เจอศิลปินด้วย ใช้บุญปีนี้หมดแล้วแน่ๆ…

Let’s talk about Richey Edwards

ในยุค90 คงไม่มีสายอัลเตอร์นาทีฟคนไหนไม่รู้จัก Manic Street Preachers

กาลเวลาผ่านไป วงอาจหายไปในความทรงจำของผู้ฟังหลายคน แต่มีบุคคลในวงคนหนึ่งที่ยากจะลืมลงได้

Richey Edwards – นักแต่งเพลงและมือกีตาร์ Manic Street Preachers ที่หายตัวไปในวัย 27 ปี

CfmiQ7EUkAE0VL9

บทบาทตอนแรกของริชชี่ใน Manic Street Preachers นั้น [ต่อไปเราจะขอพิมพ์ชื่อย่ออย่าง Manics แทนนะคะ] เขาไม่ได้เป็นสมาชิกวงเต็มตัวด้วยซ้ำ เขาเป็นคนยกของและคนขับรถให้กับวง จนกระทั่งมือเบสของวงในช่วงนั้นลาออกจากวง และนิคกี้ ไวร์ (Nicky Wire) ต้องเปลี่ยนจากเล่นกีตาร์มาเล่นเบสแทน ในท้ายที่สุดริชชี่ก็เข้ามาเป็นสมาชิกที่ 4 ของ Manics ซึ่งแถมมาด้วยภาระการเป็นหน้าตาของวง

พอเขียนแบบนี้รู้สึกเหมือนเป็นคนที่ไหนไม่รู้มาเข้าวง แต่ทั้งสี่คนรู้จักกันมานานแล้วนะคะ นักร้องนำกับมือกลอง เจมส์ ดีน แบรดฟิลด์ (James Dean Bradfield) กับชอว์น มัวร์ (Sean Moore) นี่คือเป็นญาติกันเลย

tumblr_mzjq6oc8F21rm3ioqo2_500
The Manics ช่วงปี 1988-1989

ภาพที่ชินตาของหลายคนเกี่ยวกับริชชี่อาจเป็นภาพที่ริชชี่กำลังดีดกีตาร์อย่างเอาเป็นเอาตาย แต่ในความจริง ริชชี่เล่นกีตาร์ไม่เป็นจนกระทั่งในช่วงปี 1994 ถึงจะพยายามหัดเล่นอย่างจริงจังเพราะ Nirvana โดยให้ชอว์นสอนเล่น Come As You Are ให้ แต่นิคกี้ก็พูดว่า

“เขาเป็นคนที่แย่ในด้านดนตรีมาก ขนาดตัวผมที่ว่าแย่แล้ว เขาแย่กว่าผมสิบเท่า”

“He’s one of the least musical people,” “I mean, I’m not musical at all, and he’s ten times worse than me.” – Nicky, 1998

ถึงแม้ริชชี่ไม่มีความสามารถด้านดนตรีเลย สิ่งที่มาทดแทนกันคือความสามารถในการเขียนเนื้อเพลงผสมกับสิ่งที่เขาเรียนมา นิคกี้และริชชี่เลยกลายตัวหลักในการแต่งเพลงให้วง ขณะที่ชอว์นและเจมส์รับผิดชอบด้านดนตรี

tumblr_kow9ceH3WF1qa0ux8o1_500
หยุดเถอะ – ชอว์นไม่ได้กล่าวไว้

คงสงสัยว่าทำไมริชชี่ถึงแต่งเนื้อเพลงโดยสอดแทรกประวัติศาสตร์ การเมือง ใช้คำแปลกๆ ได้ขนาดนี้ ก็เพราะริชชี่จบเอกประวัติศาสตร์การเมือง ด้วยเกียรตินิยมอันดับ 2 จากมหาวิทยาลัยสวอนซีในเวลส์ จึงไม่ต้องแปลกใจว่าทำไมเนื้อเพลงถึงออกมาเป็นแบบนี้ เจมส์ถึงขั้นด่าด้วยซ้ำว่า “ไอ้เหี้ย กูจะแต่งทำนองให้เข้ากับเนื้อที่มึงให้มายังไง?” (You crazy fucker, how do write music for this?) เมื่อริชชี่ยื่นเนื้อเพลง Faster ให้กับเขา

2019-05-29
ตัวอย่างเนื้อเพลงจาก The Holy Bible ที่ 70%ของเนื้อเพลงในอัลบั้มมาจากริชชี่

ด้วยความแรงในช่วงแรกของวงตอนออกเดบิวท์อัลบั้มอย่าง Generation Terrorists เช่นการกล่าวว่า พออัลบั้มนี้ขายได้ 16 ล้านแผ่น พวกเขาก็จะยุบวง (แน่นอนว่าขายไม่ถึงแล้ว Manics ก็อยู่ยาวมาจนถึงทุกวันนี้) เนื้อเพลงที่ contrast กับวงอังกฤษในยุคนั้น ดนตรีที่ได้รับอิทธิพลมาจาก Hard Rock / Glam Metal และความเรียกตีนของเหล่าสมาชิกในวง เช่น

“ผมน่ะเกลียดวง Slowdive มากกว่าฮิตเลอร์”

I will always hate Slowdive more than Hitler -Richey, 1991

ทำให้เกิดข้อกังขาที่ว่า “พวกเขาจริงแค่ไหนกัน” จริงในที่นี้คือมีอุดมการณ์ในตัวจริงหรือแค่เป็นกิมมิค จนเกิดเหตุการณ์ 4 real – เหตุการณ์นี้คืออะไรกัน แล้วทำไมมันส่งผลกับภาพลักษณ์วงจนถึงปัจจุบัน

เหตุการณ์ 4 real คือเหตุการณ์ที่ริชชี่ให้สัมภาณ์กับ สตีฟ ลาแมค (Steve Lamacq) นักข่าวจากนิตยสาร NME หลังเสร็จการแสดงสด พยายามอธิบายว่าพวกเขานั้นน่ะ ของจริง (for real) จนกระทั่งใช้ใบมีดมากรีดที่แขนเป็นคำว่า 4 REAL เพื่อตอกย้ำความเป็นของจริง เราจะขอลงรูปเป็นลิ้งค์พร้อมกับใส่คำเตือนไว้นะคะ

Trigger Warning : Self Harm

ผู้อ่านซึ่งอ่านมาถึงจุดนี้คงเริ่มตั้งคำถามแล้วใช่ไหมว่า เขามีปัญหาด้านสุขภาพจิตหรือเปล่า? – ใช่ค่ะ ริชชี่มีปัญหาด้านสุขภาพจิต และเหตุการณ์นี่เป็นอาจจะเรียกได้ว่าเป็นจุดเริ่มต้นของจุดจบก็ว่าได้

BeFunky Collage
การเปลี่ยนแปลงของริชชี่ตั้งแต่ 1991 – 1995

ริชชี่มีปัญหากับการทำร้ายตัวเอง (Self Harm) มาตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัยแล้วควบคู่มากับอาการติดเหล้า (Alcoholism) และ Anorexia โดยเขาเคยให้เหตุผลว่าทำไมเขาถึงทำมันว่า

“เมื่อผมกรีดแขน ผมรู้สึกดีขึ้น ทุกอย่างที่ผมรำคาญก็ดูไร้ความหมายไปเลยเพราะผมเลือกที่จะจดจ่อกับความเจ็บปวดนั่น ที่ผมทำแบบนี้เพราะผมไม่ใช่คนที่จะมาตะโกนโหวเหวกโวยวายได้ นี่เป็นหนทางเดียวในการปลดปล่อยความรู้สึกข้างในออกมาได้ ทุกอย่างถูกทำอย่างมีเหตุผล

When I cut myself I feel so much better. All the little things that might have been annoying me suddenly seem so trivial because I’m concentrating on the pain. I’m not a person who can scream and shout so this is my only outlet. It’s all done very logically – Richey, 1994

แต่ในขณะเดียวกันริชชี่ก็ตอบเรื่องเกี่ยวกับการฆ่าตัวตายไว้ว่า

“ในส่วนของ S [ย่อมาจาก Suicide] เรื่องนั้นไม่เคยอยู่ในหัวผม และจะไม่มีวันทำด้วย เพราะผมแกร่งมากกว่านั้น ถึงผมจะอ่อนแอแต่ผมสามารถรับความเจ็บปวดได้”

In terms of the ‘S’ word, that does not enter my mind. And it never has done. In terms of An Attempt. Because I am stronger than that. I might be a weak person, but I can take pain – Richey, 1994

แต่ปัญหาทั้งหมดที่ได้กล่าวไปถาโถมใส่ริชชี่ จนในที่สุดริชชี่ต้องเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลจิตเวชในปี 1994 และเป็นครั้งแรกที่วงขึ้นแสดงแบบสามคนในเทศกาลดนตรี Reading โดยเหลือที่ว่างด้านขวามือของเจมส์ไว้ ซึ่งเป็นที่ของริชชี่

tumblr_olmbxtRJyE1vdcvtjo5_1280
ภาพของริชชี่จากบทสัมภาษณ์สุดท้ายจากนิตยสาร Music Life ของญี่ปุ่น

ถัดมาในปี 1995 ทางวงรวมตัวกันมาซ้อมเพื่อการทัวร์ที่อเมริกา ในขณะที่ริชชี่อิดออดพร้อมพูดกับครอบครัวว่าเขาไม่ได้อยากไป แต่สุดท้ายเขาก็เตรียมตัวพร้อมกับเจมส์และพักที่โรงแรม London Embassy ก่อนจะหายตัวไป

มีการรายงานว่าริชชี่ถอนเงินจากบัญชีในตัวเองไปเรื่อย ๆ ก่อนหายไปและจุดสุดท้ายที่คิดว่าริชชี่อยู่คือสะพาน Severn มีหลักฐานคือรถของริชชี่ที่ถูกจอดใกล้กับสะพาน โดยเป็นจุดที่คนนิยมมาฆ่าตัวตาย แต่เนื่องจากไม่มีหลักฐาว่าเสียชีวิต ทำให้ริชชี่ถูกประกาศว่าเป็นบุคคลสูญหาย จนกระทั่งปี 2008 ที่ศาลตัดสินให้บุคคลที่เสียชีวิตแล้ว หากต้องการดูทามไลน์การหายตัวไป ตามอ่านได้ในเว็บนี้เลยค่ะ

ถึงแม้จะถูกประกาศว่าเป็นบุคคที่สูญหาย แต่ทางวงก็ยังคงแบ่งรายได้ทั้งหมดของวงให้กับริชชี่ เป็นการบอกกลายๆถึงการรอคอยและความหวังว่าริชชี่จะกลับมาอีกครั้ง

สิ่งที่ริชชี่ทิ้งไว้กับเพื่อนของเขาคือเนื้อเพลงซึ่งต่อมากลายเป็นวัตุดิบในการทำอัลบั้ม Journal For Plague Lovers เพลงที่ถูกทำไว้ก่อนหน้าที่จะหายไปโดยถูกบรรจุอยู่ในอัลบั้ม Everything Must Go และโน้ตสั้นๆที่เขียนว่า “I love you”

“ส่วนตัวแล้วผมยังคิดว่าเขายังมีชีวิต ถึงแม้ว่าผมไม่มีหลักฐานหรือเหตุผลให้คิดอย่างนั้น แต่ผมยังเชื่อว่าเขายังมีชีวิตอยู่ คุณจะยอมรับได้ยังไงว่าเขาตายแล้ว ในเมื่อมันไม่มีร่างหรือหลักฐานอะไรเลย? มันไร้เหตุผลสิ้นดี”

Personally, I still think he’s alive, although I’ve got no physical evidence or reason to think that he is. But I do…how can you accept that he’s dead, when there’s no body, no evidence whatsoever? It’s irrational – Nicky Wire

tumblr_op8h8cVbdV1qzzea4o1_1280

MY DREAM GIRLS : ถึงสาวในฝันของฉัน

หลังจากโพสวายป่วง THE MEN OF MY DREAMS : ผู้ชายในฝัน ในช่วงท้าย เราได้พิมพ์ไว้ว่าเราจะกลับมาอีกครั้งหัลงสอบมิดเทอมเสร็จ

เราก็มาทำตามสัญญากับโพสสาวในฝันของเราเอง

ในส่วนของผู้หญิง จะมีความหลากหลายมากหน่อย … จริง ๆ ก็วนอยู่ที่ศิลปินกับนักแสดงแหละ แต่มันไม่ได้กระจุกอยู่แค่ศิลปินไง ยังพอกระจายอยู่บ้าง พวกนักแสดงก็จะเก่านิด ๆ (ไม่นิดอ่ะคุณ)

ไม่รู้จะเขียนอะไรต่อ ก็มาดูกันเลยดีกว่า


5. Anna Karina

ระดับความชอบ : ★★★☽

ไทป์ : สาวเฉี่ยวแห่ง 60s

อดีต muse และภรรยาของผู้กำกับ french new wave ผู้ดังที่สุดในหมู่ฮิปสเตอร์ Jean-Luc Godard เจ้าของการเขียนขอบตา อายไลเนอร์สีและทรงผมหน้าม้า เรียกได้ว่าเป็นเอกลักษณ์ของเธอก็ได้

จขบ. รู้จักแอนนาช่วงพยายามทำตัวเป็น cinephile เสาะหาหนังที่คิดว่านอกกระแสมาดู จนตอนนี้เลิกพยายามแล้ว กลายเป็นปลางับเหยื่อ oscar bait แทน เห็นเธอจากหนัง Godard เรื่อง A Woman Is A Woman (Une Femme Est Une Femme) ที่ Godard ทำเป็นทริบิวต์ musical comedy หรือเป็น parody ก็ไม่แน่ใจ

สวยจนจขบ. หลง สุดท้ายต้องไปนั่งดูหนังเรื่องอื่นๆ ที่เธอแสดงนำ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นหนังของ Godard ส่วนตัว เราชอบ A Woman Is Woman สุด แต่ถ้าหนัง Godard ที่ใช้ประโยชน์จากเธอได้สุดคงไม่พ้น My Life to Live (Vivre Sa Vie) กับฉากร้องไห้ – คนอะไร ร้องไห้แล้วยังสวยอีก แต่แอนนาเธอพูดเลยว่า เกลียดฉากนี้มาก เพราะคิดว่าเธอไม่สวยเลย

แต่เราคิดว่าเธอคิดผิด


4.Takeuchi Miyu (Ex-AKB48)

ระดับความชอบ : ★★★★

ไทป์ : พระแม่ Introvert

เราได้ประกาศความรักที่มีต่อมิยุลงไปในโพสนี้เรียบร้อยแล้วนะคะ

แต่พึงได้ไปดูวีดีโอประกาศแกรดใน youtube อย่างจริงจังแล้วพบกับที่เธอพูดว่า ไม่แน่ใจเท่าไรแต่ประมาณ “ประโยคที่ว่า [มนุษย์ทุกคนย่อมได้รับผลของการพยายาม] ฉันไม่เชื่อมันเลยสักนิด”

DAMN YOU, CAPITALISM


3. Grimes

ระดับความชอบ : ★★★★

ไทป์ : เอเลี่ยนสาวจากต่างดาว

พระแม่ผู้คิดค้นแนว Electronic

รู้จัก Grimes (อ่านว่ากรามส์ not กริมส์ เพราะชื่อมาจากแนวเพลงของ UK) จากเพลง Oblivion ซึ่งเป็นเพลงดังสุดของเธอ จังหวะบีตแน่นๆกับเสียง synth และเสียงร้องเธอเองซึ่งให้อารมณ์คล้ายๆกับ Enya หรือไม่ก็ Elizabeth Fraser จากวง Cocteau Twins

ยิ่งไปตามอ่านประวัติ ยิ่งน่าทึ่งเข้าไปใหญ่ ที่เธอทำเพลงเอง แบบไม่รู้อะไรเลย พูดง่าย ๆ พรสวรรค์ล้วน ๆ พอมาอัลบั้มล่าสุด Grimes ก็ไปหัดเล่นกีตาร์เพื่อมาทำเพลง ขอบอกว่าอัลบั้ม Art Angels นี่สุดยอดมากเป็นอัลบั้มป็อปแห่งปี 2015 ของจขบ.

ส่วนนิสัยของเธอ อือหื้อ geek ตัวแม่ ติดเกมส์ เป็น activist แล้วก็ฉลาดด้วย – ล่าสุดคือเดทกับ Elon Musk เจ้าของบริษัท Tesla (และกำลังเป็นอดีต) ซึ่งก็ไม่รู้ว่าตอนนี้เป็นยังไงแล้วบ้าง…


2. Stevie Nicks (Fleetwood Mac)

ระดับความชอบ : ★★★★☽

ไทป์ : แม่มดสาวผู้โรแมนติค

อีกตัวแม่แห่งวงการเพลงร็อค สตีวี่ไม่ได้มีภาพลักษณ์เป็นสาวเท่หรือมั่นเหมือน Debbie Harry แห่ง Blondie หรือ Joan Jett – ภาพลักษณ์ของเธอมีความ Feminine สูง กับการเดินกรีดกรายแขนไปในชุดเดรสชีฟ่องสีดำ ทำให้ผู้ชมหลงเสน่ห์ของเธอได้ไม่ยาก

เหตุผลที่ทำให้สตีวี่เป็นตัวแม่ จขบ.ไม่ขอพูดอะไรมาก แนะนำให้ผู้อ่านไปหาดูคลิปการแสดงสดเพลง Rhiannon ปี 1976 แล้วจะรู้สาเหตุว่าทำไม (ต่อให้ไม่ใช่ในปี 1976 แต่สมาชิกในวงได้พูดถึงการแสดงเพลงนี้ของเธอในช่วง 70s ว่าเหมือนโดนบางสิ่งบางยิ่งเข้าสิงอยู่)

เนื้อเพลงส่วนใหญ่ของสตีวี่มักจะมีความ … เรียกว่ายังไงดี นิทาน? แฟนตาซี? ไม่รู้ละ แต่มันโรแมนติคมากๆ ราวกับเธอใส่อารมณ์ทุกอย่างลงไปในเพลง ไม่ว่าจะดีหรือแย่ (เราจะไม่พูดถึงความสัมพันธ์รัก ๆ เลิก ๆ ของเธอกับ Lindsey Buckingham เป็นมหากาพย์ที่ยังตีกันจนถึงปัจจุบัน)

เราเคยแปลเพลงของเธอด้วยนะ


เช่นเคย ขอคั่นเวลาก่อนไปอันดับ 1 ด้วย

Honorable Mention

แถวที่ 1 : Twiggy / Edie Sedgwick / Francoise Hardy

ทวิกกี้นี่ ไม่แน่ใจว่าเธอเป็นคนเริ่มเทรนด์การเขียนขอบตา ทำให้ดวงตาดูใหญ่ขึ้นหรือเปล่า แต่ก็เป็นตำนานแห่งวงการนางแบบคนนึงที่เราชอบ / เราเคยเขียนโพสเกี่ยวกับอีดี้ ตรงนี้ ชีวิตเธอเรียกได้ว่าเป็น Tragedy น่าคิดว่าถ้าเธอไม่ได้เจอแอนดี้ วอร์ฮอล เธอจะเป็นยังไงต่อไปกัน / รู้จักฟรองซัวจาก Collaboration กับ Blur ใน To The End (Ver. French) เป็นคนคูลมากๆ

แถวที่ 2 : Courtney Love (Hole) / PJ Harvey / Bjork

คอร์ทนีย์นี่เป็นตัวอย่างชั้นดีเลยนะของเรื่อง Sexist ในวงการดนตรีร็อค เราเชื่อว่าถ้าเธอเป็นผู้ชาย คงไม่มีใครด่าพฤติกรรมเธอมากหรอก (ถ้าคุณเป็นแฟน Nirvana แล้วเชื่อว่าคอร์ทนีย์ฆ่าเคิร์ท แนะนำให้รีบโต ๆ ซะนะ) / สมบัติแห่งชาติของอังกฤษ แต่ชอบสมัยร็อคตอนแรกๆมากกว่าอัลบั้มหลัง พยายามจูนอยู่ XD / อยากผ่าหัวบียอร์คเหลือเกินว่าทำไมเธอถึงได้มีความคิดสร้างสรรค์ขนาดนี้

แถวที่ 3 : Lana Del Rey / Marina and The Diamonds / BABYMETAL

เป็นพระแม่อีกคนนึงที่นำอัลเตอร์นาทีฟมานำเสนอแก่ชาวเมนสตรีมได้ฟัง อัลบั้ม Ultraviolence คือดีย์ แต่ก็เป็นอัลบั้มวัดใจด้วยว่าใครจะเป็นแฟนลาน่าต่อไป / มาริน่าก็เป็นสายป็อปที่ไม่ได้ป็อปจ๋าเหมือนลาน่า ตัวแทนชาว ~พยายาม~ edgy ของชาว Tumblr เชื่อว่าเนื้อเพลงของอัลบั้ม Electra Heart คนในนั้นโควทได้เกือบหมด แต่พอโตขึ้น เนื้อเพลงเธอก็โตตาม / วงไอดอลสายเมทัลที่ดังในระดับโลก ถือแม้จะมีคนพยายามทำตาม แต่ก็ไม่แมสเท่าวงนี้ ชอบเสียง Su-metal มาก ๆ เชื่อว่าถ้าเธอยังรักในเมทัล เธอคงเป็นเมทัลควีนคนต่อไปแน่ ๆ


1. Audrey Hepburn

ระดับความชอบ : ★★★★★

ไทป์ : เจ้าหญิงในชีวิตจริง

เราคงแพ้ผู้หญิงที่เป็นขั้วตรงข้ามกับตัวเองอ่ะ

จขบ.รู้จักออเดรย์ เฮปเบิร์นตอนช่วงม.3 มั้ง เป็นช่วงที่เริ่มดูหนังพอดี เรื่องแรกของเธอที่ได้ดู จำไม่ได้ว่า Breakfast At Tiffany’s หรือ Roman Holiday เราเห็นเธอครั้งแรก เราคิดเลย “สวยมาก เหมือนกับเจ้าหญิงจริง ๆ ” บวกกับการเข้ามาของอินเทอร์เน็ตและ Tumblr ทำให้ตอนนั้นก็กระหน่ำเซฟรูป เคยมีรูปออเดรย์เยอะมาก จนมันหายไปเพราะลืมกู้ข้อมูลจากคอมที่พัง จนต้องหาเซฟใหม่ในที่สุด

ถึงเราอยากจะบอกว่าเป็นแฟนของออเดรย์ แต่ก็ยังดูหนังของเธอแค่ 5 เรื่องเอง แถมเรื่องดังของเธออย่าง My Fair Lady ก็ยังไม่ได้ดูอีก XD

เขาว่ากันว่าประสบการณ์คือสิ่งที่ทำให้คนๆหนึ่งเป็น”คน”ที่เรารู้จักได้ – วัยเด็กในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองของออเดรย์คงทำให้เธอในเวลาต่อมา ทำงานให้กับยูนิเซฟเพื่อช่วยเหลือเด็ก ๆ ในประเทศโลกที่สาม ในช่วงหลัง ๆ ซึ่งเธอเสียชีวิตในวัยแค่ 63 เอง ถ้าเธอยังมีชีวิตอยู่ตอนนี้เธอก็จะอายุ 89

จขบ. คิดว่าเธอยังทำอะไรได้อีกเยอะ ถ้าเธอไม่จากไปก่อน


จู่ๆ ก็เริ่มสนุกกับการเขียน Top 5

อยากรู้ top 5 เราในเรื่องไหนก็ลอง comment ดูแล้วกัน

THE MEN OF MY DREAMS : ผู้ชายในฝัน

ตั้งแต่เป็นสาวเต็มกาย หาผู้ชายถูกใจไม่มี (สามารถหาฟังเพื่ออรรถรสในการอ่านได้)

ถามหาสาระอะไรกับบล็อกนี้ นอกจากแปลเพลงที่ผิดๆถูกๆกับลงรีวิวหนังและหนังสือเป็นบางครั้งบางคราว ก็ไม่มีอะไรแล้ว

และในครั้งนี้ เรามากับโพสว่าด้วยผู้ชายในฝัน aka คนที่ชอบในวงการบันเทิง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นนักดนตรีและนานๆทีเป็นนักแสดง แต่เราจะโพสแค่ Top 5 + Honorable Mention อีกสองสามคน หรืออาจมากกว่านั้นก็เป็นไปได้

เริ่มกันเลย!


5. Michael Palin (Monty Python)

ระดับความชอบ : ★★★☽

ไทป์ : รุ่นพี่อบอุ่น อ่อนโยน (และตลก)

รู้จักกับปู่ (ใช่ค่ะ ปู่ เขาอายุ 75 แล้วค่ะ) ผ่านคณะ Monty Python – นั่งดู Flying Circus และหนังตระกูล Monty Python อื่นๆ ก็ชอบเขามาก เป็นผู้ชายหน้าตาน่ารักอ่ะ ลุคดูไม่เข้ากับคนในกลุ่มเลย… แต่ก็เข้ากันได้ แถมเป็นตัวกลางหรือกาวเชื่อมความสัมพันธ์กับคนในกลุ่มด้วย ฉายา The Nicest Man In The World ไม่ได้มาเพราะโชคช่วย

เป็นคนรักการท่องเที่ยว มีรายการท่องเที่ยวเป็นของตัวเอง แล้วไม่ใช่เที่ยวเรื่อยเปื่อยนะ มีคอนเซป แต่ที่ดังสุดเลยคงเป็น Michael Palin: Around the World in 80 Days – เที่ยวรอบโลกภายใน 80 วัน ตามนิยายชื่อเดียวกันและไม่ใช้เครื่องบิน พยายามใช้เส้นทางเดียวกับในนิยาย

หักคะแนนความชอบเพราะไม่สามารถตามอะไรได้มาก ไม่อินกับรายการท่องเที่ยวแม้จะพยายามแล้วก็เถอะ ขอโทษทีค่ะ เป็นคนติดบ้าน


4. David Byrne (Talking Heads)

ระดับความชอบ : ★★★★

ไทป์ : เด็กแปลกๆ ที่สนใจในด้านนึงมากๆ จนอดแอบชอบไม่ได้

ตอนแรกๆก่อนฟังเพลงอื่นของ Talking Heads ก็จะฟังแต่เพลงดังอย่าง Pyscho Killer ใน Youtube ซึ่งเป็นรูปสมาชิกวงทั้งสี่คน ไม่คิดเลยว่าคนนี้จะเป็นคนร้อง เพราะภาพในนั้น แกหลบอยู่มุมในเลย แล้วให้มือกลองอยู่หน้าสุด เลยนึกว่าคนนั้นน่ะ คือคนร้อง 😂

มาชอบจริงๆก็ตอนนั่งดู Stop Making Sense – บันทึกการแสดงสดที่เรียกว่า The Best มาก เราประทับใจในความคิด”นอกกรอบ”ของเขามากเลย เช่นการใส่สูทตัวใหญ่มากๆ เพราะอยากให้หัวเล็กลง!? และ Music Video ที่ตามมา

แต่ที่ยังไม่ได้ชอบเต็มอกเนื่องจากเรื่องสงครามน้ำลายกับอดีตสมาชิกวง (ข้างเดียว? เพราะหลังๆมาเดวิดไม่ตอบโต้ มีแค่อีกฝ่ายที่คอยกระแนะกระแหนอ่ะนะ) เลยไม่ยอมรียูเนี่ยน Talking Heads สักที


3. Morrissey [ตอนหนุ่มๆ] (The Smiths)

ระดับความชอบ : ★★★★

ไทป์ : ศิลปินอารมณ์ศิลป์ผู้ปากคอเราะร้าย

เฮ้ย เอาจริงป่ะ ใครเป็นแฟนเพลงวงอินดี้ ยังไงก็ต้องได้เห็นหน้าค่าตาคุณพี่มอซ ขวัญใจเด็กฮิปสเตอร์ กับทรงผมปอมปาดัวร์ ใส่แว่นตา พร้อมเพลง There Is The Light That Never Goes Out – เห็นหน้าครั้งแรก อารมณ์อาร์สติสมากๆ

ต้องยอมรับจริงๆ ว่ามอซเป็นหน้าตาของวง The Smiths ควบคู่กับเสียงกีตาร์ของ Johnny Marr – เราชอบที่หน้าตากับความสามารถในเขียนเพลง แค่นี้เลย แต่พฤติกรรมบางอย่างของเขาเองเราก็ชอบนะ เช่นการใส่เครื่องช่วยฟัง เพื่อให้คนที่ใส่รู้สึกไม่แปลกประหลาด

และจะไม่พูดถึงตอนนี้ ซึ่งก็ได้แต่ปวดใจกับพฤติกรรมแก มาเสียตอนแก่แท้ๆ… หรือมันแค่แสดงออกชัดเจนตอนนี้?


2.Alan Wilder (Depeche Mode)

ระดับความชอบ : ★★★★☽

ไทป์ : มนุษย์ Passive Aggressive

ถึงแม้จะชอบล้อเขาบ่อยๆ ถึงเรื่องความรักที่มีต่อเครื่อง synthesizer แต่ถ้าไม่มีอลัน (มาร์ตินก็อาจมีส่วนด้วย) Depeche Mode คงเป็นเพียงแค่ one hit wonder ในยุค 80s ด้วยวิธีการทำงานและ Sample เสียงต่างๆ ของพี่เขา วงก็ได้ยกระดับเป็นวงดังแบบคัลต์ทันที

แล้วจำเป็นต้องหน้าตาดีขนาดนี้ไหมพี่ โอ้ย เก่งแล้วยังหล่ออีก /กุมอก ที่ระบุว่าเป็นไทป์ Passive Aggressive เพราะสัมภาษณ์บางชิ้น ถ้าแบบไม่ได้จริงจัง ก็ออกแนวเล่นไปเลย แต่ถ้าสัมภาษณ์น่าเบื่อหรือไม่ชอบ ดูจากสีหน้าก็รู้แล้วค่ะ…

แต่เวลาทำงานก็ตั้งใจจริง เหตุผลตอนออกจาก Depeche Mode ก็เพราะปัญหาทุกคนวายป่วงเกินกว่าจะรับไหวนี่แหละ


เราขอคั่นเวลาก่อนไปอันดับ 1 ด้วย

Honorable Mention (To all the boys I’ve loved before … or still love)

แถวที่ 1 : Paul McCartney (The Beatles) / David Bowie / Boy George (Culture Club)

วง The Beatles เป็นตัวนำทางให้จขบ.ฟังเพลงตะวันตก และแน่นอนว่ามันก็ต้องมีคนโปรดแหละ ได้แก่พอลลี่คนนี้เอง แต่คนอื่นๆในวงก็ชอบนะ! / ก็เดวิดโบวี่อ่ะคุณ เดวิดโบวี่! ยังต้องให้คำอธิบายอะไรอีก (ps.ชอบตอนผมสีส้มมากๆ แต่ก็เป็นยุคที่ชีวิตมีปัญหามากที่สุด…) / ไม่รู้รสนิยมตัวเองตอนนั้นว่าเป็นไง อาจเพราะรู้สึก fascinated กับผู้ชายที่หน้าตาสวยเหมือนผู้หญิงก็เป็นได้

แถวที่ 2 : Ryuichi Sakamoto / Brett Anderson (Suede) / Graham Coxon (Blur)

คุณริวอิจิ ซาคาโมโต้ พึ่งมาชอบช่วงหลังๆ แต่ไม่ได้ตามอะไรมาก เป็นคนแต่งเพลงดังอย่าง Merry Christmas, Mr. Lawrence เห็นเล่นเปียโนอย่างนี้ เขาเป็นผู้บุกเบิกแนวเพลงอิเล็กโทรนิคเชียวนะ / สาย androgynous ในช่วงแรกๆ ก่อนแต่งตัวปกติทีหลัง ท่าทีการร้องนี่แบบว่าสุดๆ / น้องน้อยและหนุ่มแว่นน่ารักประจำวง Blur แต่เวลาเล่นกีตาร์นี่อย่างเดือด

แถวที่ 3 : Brian Molko (Placebo) / Ross Farrelly (The Strypes) / Tom Hiddleston

อารมณ์เดียวกับบอยจอร์จ คือ fascinated กับผู้ชายที่หน้าตาสวยเหมือนผู้หญิง / รู้จักวง แล้วแบบ เฮ้ย อายุมากกว่าฉันแค่สองสามปีเอง เป็นคนหน้าหวาน แต่ใส่แว่นปิดตา … / หลงจากการเป็นโลกิ ช่วงแรกๆที่รู้จักก็ตามอย่างบ้าคลั่ง ตอนนี้ตามอย่างห่างๆ (แต่ก็แอบปวดใจตอนเห็นข่าวคบเทย์ 😂)


ที่หนึ่งก็ได้แก่ /รัวกลอง ……ยังไม่รู้กันอีกเหรอวะคุณ

1. Richey Edwards (Manic Street Preachers)

ระดับความชอบ : ★★★★★

ไทป์ : กวีหนุ่มผู้อ่อนไหว

พ่อหนุ่ม 27 forever ของเราเอง เขียนระบุไทป์ดูดีกว่าชาวบ้านเขาเลยอ่ะ ความลำเอียงก็อย่างนี้แหละ ยกไว้เป็นทูนหัวของเรา

มนุษย์ผู้เล่นเครื่องดนตรีไม่เป็น (ก็ยังมีคนหูเทพบอกมาว่า แกก็เล่นอยู่ทั้งช่วงอัดเพลงและก็แสดงสด แค่เปิดเสียงแอมป์ไม่เท่าตัวหลัก) แต่สนใจในด้านประวัติศาสตร์กับการเมือง (จบประวัติศาสตร์การเมือง) และบทกวี วรรณกรรมต่างๆ เลยได้รับหน้าที่ให้เขียนเนื้อเพลง เมื่อสองสิ่งนี้มาผสมกัน ก็ได้ออกมาเป็นเนื้อเพลงที่ไม่ธรรมดา ส่วนคนแต่งทำนองก็นั่งกุมขมับว่ากูจะแต่งยังไงให้เข้ากับเนื้อที่ได้

เป็นรักแรกพบแบบจริงจังของจขบ.อ่ะค่ะ ถ้าสนใจตามอ่านว่าเจอกันได้อย่างไง คลิกที่หัวใจเลย เป็นโพสเมาๆเมื่อสองปีที่แล้ว คงเขียนเพราะใกล้วันเกิดริชชี่ล่ะมั้ง … ก็ยังแอบหวังว่าเขายังมีชีวิตอยู่นะ แม้จะเป็นความหวังที่ริบหรี่มากก็ตามเถอะ


สรุปว่าเป็นหนุ่ม British / Irish เกือบหมดเลย…. ตายแล้ว

P.S. วันหลังจะมาพูดถึงนางในฝันด้วย หลังผ่านมิดเทอมไป

เจอกันค่ะ

เจ็บแล้ว(ไม่)จำกับวงการไอดอล (น้ำหอม / ทาเคอุจิ มิยุ)

วงการไอดอลญี่ปุ่น คือวงการที่แทบจะอยู่ฝั่งตรงข้ามกับวงการดนตรี

ในวงการไอดอลญี่ปุ่น ขอแค่คุณมีความน่ารัก และความสามารถพอประมาณ จะด๋อยไปเลยก็ได้ แต่ต้อง น่ารักหรือตรงไทป์คนในประเทศ คุณก็จะมีความนิยมสูงทันที ซึ่งความนิยมสูง = เงินไหลมาเทมา ผลกรรมเลยตกไปกับคนที่อยากเป็นไอดอล แต่น่าตาไม่น่ารัก (จริงๆ มันก็มีกรณีพิเศษ แต่มันก็ one in a million อ่ะนะ)

แล้วข้าพเจ้าก็ตกบ่วงไอดอลไปตอนไหนไม่รู้ หรือไม่ได้ตกไปเลยก็ได้ แต่แค่ตกบ่วงสองคนนี้

น้ำหอม อดีตสมาชิกวง BNK48 กับ ทาเคอุจิ มิยุ สมาชิกวง AKB48

sad

ตอนกำลังเขียน มิยุ ก็ได้ประกาศจบการศึกษา(แกรด)ไปเป็นที่เรียบร้อย

ทั้งสองมีจุดที่เหมือนกันคือ มีความสามารถทางด้านดนตรี แต่หน้าตาไม่ตรงไทป์ความชอบคนในประเทศ ไม่มีคาแรกเตอร์ชัดเจน (การไม่มีคาแรคเตอร์ในวงการไอดอลถือเป็นเรื่องคอขาดบาดตายในสายตาของเจ้าของบล็อก เพราะหมายความว่า คนจะไม่จดจำคุณ) เคยโดนดันมาก่อน (น้ำหอมติดตัวจริงซิงเกิ้ลแรกของบอค. ส่วนมิยุเคยถูกยกว่าเป็นเอซของรุ่นตัวเอง) แต่ดันแล้วไม่เข้าตาเหล่าแฟนคลับ ก็ถูกปัดตกไปในที่สุด

น้ำหอม

DFV_je2VwAUfvr_

บอค เปิดตัวมาครั้งแรก เราก็สนใจน้ำหอมแล้ว ไม่รู้ทำไม อาจเพราะสนใจที่น้องเขียนว่ามีความสามารถพิเศษคือเล่นดนตรีหรือเปล่านะ ซึ่งเราก็ตามน้องไปเรื่อย รอจนกระทั่งวันเปิดตัวบอค. รุ่นแรก นี่ก็ไป เขาประกาศคนติดเซ็มบัตสึซิงเกิ้ลแรก (ซิงเกิ้ลกับเซนเตอร์ที่ถูกลืมนั้นแหละ) พอมีชื่อน้ำหอม เราเกือบร้องไห้นะ … ดูเป็นคนอ่อนไหวดี

คาดเดาว่าที่ผู้บริหารพยายามดันน้อง เพราะเป็นเด็กลูกครึ่งที่เป็นไทป์ที่คนไทยนิยมกัน… แต่เผอิญไม่เป็นไปตามที่หวัง เลยโดนลดขั้นไปตามระเบียบ และนั้นทำให้เราหงุดหงิด – น้ำหอมมีคาแรกเตอร์เล่นมุกเสี่ยว แต่ไม่ได้สนใจเท่าไร เราแค่อยากให้น้องเป็นน้องก็เท่านั้น ตามน้อง เคยวาดรูปส่งให้น้องด้วย

แล้วก็จางมาเรื่อยๆ จนมีข่าวลือว่าจะแกรด … เราไม่เชื่อ บ้าเหรอ แฟนคลับน้องเขาพึ่งทำเพลงให้เอง แล้วน้องก็ได้ฟังด้วย วันหนึ่งมีไลฟ์ตู้ปลา ที่กุมารไลน์มากันครบทุกคน (กลุ่มสมาชิกอายุน้อยในวง) ทุกคนเดากันว่าต้องมีใครคนหนึ่งประกาศแกรด แล้วก็กลายเป็นน้ำหอมจริงๆ

ตอนนั้นคือจุก ซึมไปสักพัก น้องให้เหตุผลว่าจะไปเรียนต่อที่เดนมาร์ก – โอเคอยู่ (แต่เราก็ไม่รู้เบื้องลึกเบื้องหลังอะไรมากนัก หลายคนก็บอกว่าน้องมีปัญหากับคนในวง ปัญหาครอบครัว)

ก่อนจะมาโมโหผู้บริหาร ที่ไม่มีใครมาเลย (ก่อนหน้านั้น คนที่ประกาศแกรด จะมีผู้จัดการมามอบดอกไม้ให้) แต่นี่ไม่มีเลย ไม่มีแม้แต่มาส่งที่สนามบินก่อนน้องบินไป มีแต่สมาชิกในวงมาส่ง

ตอนนี้สาปส่งออฟฟิเชี่ยล ฉันจะไม่เสียเงินให้แกอีกต่อไป


ทาเคอุจิ มิยุ

2018519195650

จขบ. รู้จักกับพี่มิยุ เพราะรายการ Produce 48 รายการแข่งขัน คล้ายๆ AF ที่มีการโหวตคัดเลือกว่าใครจะได้อยู่ในวงไอดอลเกิร์ลกรุ๊ปที่โปรดิวเซอร์ประจำชาติ aka คนดู เป็นคนจัด นี่อยากรู้ว่าถ้าเอาเด็กญี่ปุ่นมาสู้กับเด็กเกาหลีจะเกิดอะไรขึ้น เลยดู

จะเรียกว่ามันเป็นเหตุการณ์ที่เปลี่ยนชีวิตมิยุเลยก็ได้นะ ที่คนตัดต่อ เลือกตัดต่อตอนแสดงความสามารถร้องเพลงที่จับใจคนดูทุกฝ่าย ไม่ว่า อินเตอร์ เกาหลี และไทย เกิดกลุ่มแฟนขึ้น อีกทั้งประวัติของเธอที่อยู่ในวงมาตลอด 9 ปี และประโยคที่ว่า “ฉันเดิมพันชีวิตไว้ที่ Produce 48”

ก่อนจะเริ่มมหกรรมที่เรียกว่า finding miyu เพราะหลังจากตอนแรกพี่ไม่มีแอร์ไทม์ในรายการเลยค่ะ… และโดนไซเบอร์บูลลี่ฝ่ายเกาด้วยข้อหาแค่ว่าหน้าตาไม่สวย ฝ่ายไทยก็บูลลี่ด้วยการบอกว่าเขาหน้าตาหนูรัตน์… (well I wouldn’t expect much from the internet) แต่ก็อยู่ในรายการได้จนมาถึงรอบสุดท้าย

ซึ่งไอ้รอบสุดท้ายนี่แหละที่เป็นปัญหาในไทย ที่แม่งจะตีกันตายแล้ว ระหว่างแฟนคลับมิยุกับคนอื่น

มิยุอยากเป็นเมนโวคอล (คนที่ร้องดี ขึ้นไฮโน้ตได้ เป็นระบบตำแหน่งที่บ้าบอดี) เลยผลักคนที่มาสายร้องเหมือนกันตกไปตำแหน่งที่ไม่ดีเท่าไร รายการก็ตัดต่อว่าเธอขึ้นไฮโน้ตไม่ได้ ออกเสียงเกาหลีไม่ดี เท่านั้นแหละ ทวิตเตอร์ในไทยก็ลุกเป็นไฟ และรายการก็ตัดต่อแบบนี้มาตลอด ดูก็รู้ว่าไม่ได้อยากมิยุ แถมตอนจริงก็ดูเหมือนจะขึ้นไม่สุด ก็โดนแรงแค้นด่า และเธอก็ไม่ได้เป็น 12 คนสุดท้ายจริงๆ

จบรายการ ก็มาใช้ชีวิตตามปกติ บอกว่าจะมีประกาศ ซึ่งคนส่วนใหญ่เดาว่าประกาศแกรด แล้วก็แกรดจริง

สำหรับเรา เราโอเคที่พี่มิยุแกรดแหละ อคบ. ให้อะไรกับเขาไม่ได้แล้ว มาออกรายกายแบบนี้แปปเดียว คนรู้จักมิยุเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวเลย


สรุปคือ กลับไปอยู่ในวงการดนตรีเหมือนเดิม ตามอะไรแบบนี้แล้วเหนื่อย 5555

P.S ไม่นับ Keyakizaka 46 กับ BABYMETAL ว่าเป็นวงไอดอล แม้จุดเริ่มต้นคือวงไอดอล แต่นับวันยิ่งพัฒนากลายเป็นวงอาร์ทติสอ่ะ

โพสต์ 101 กับ Depeche Mode + ขึ้นปีสองแล้วนะ!

บล็อกของเราก็มาทะลุมาถึงโพสต์ที่ 101 จนได้

tumblr_inline_o3sh5mxNCh1qf8irs_500

ว่าจะเขียนตอนถึงโพสต์ที่ 100 แต่ลืมนึกไปตอนเขียนรีวิวคอนเสิร์ตพี่แมค (ตามอ่านได้ที่ https://goo.gl/QzkRPV) เลยมาเขียนในโพสต์ที่ 101 แทน และทำให้เรามีไอเดียในการเขียนบล็อกนี้ ก็คือเล่าถึงวงที่เราชอบอีกวงนึง ทุกคนที่ตามบล็อกนี้มาคงเดาได้แล้ว เพราะแปลถี่กว่าชาวบ้านเขา – Depeche Mode จ้า (ทำไมเราชอบแต่วงคัลต์วะคุณ?) กับเปิดเทอมล่าสุด ขึ้นปีสองแล้ว!

ทำไมต้อง Depeche Mode ?

จริงๆก็กิมมิคของโพสต์นี้ด้วย Depeche Mode มีสารคดีของตัวเองที่ชื่อว่า 101 ซึ่งเข้ากันพอดีเลย โดยชื่อก็มาจาก Music for the Masses Tour ที่ทัวร์สุดท้ายก็เป็นรอบที่ 101 พอดีเลย (เป็นสารคดีที่แนะนำให้ดู เพราะมันดีจริงๆ)

ทำไมถึงชอบ? ก็เพลงมันสนุกอ่ะ! เหตุผลง่ายๆ แล้วสุดท้ายก็หลง emulator II boy เทพซ่าอย่าง Alan Wilder อีก / แต่ถ้าแบบยาวๆหน่อย เราเจอ Depeche Mode ช่วงก่อนปล่อยอัลบั้มใหม่อย่าง Spirit ไม่นานเท่าไร ประมาณท้ายปี 2016 ส่วนที่เหลือก็อย่างที่เห็น

ใครจะไม่หลงกับ MV Everything Counts

หัวข้อที่สอง – ตอนนี้ขึ้นปีสองแล้วค่ะ!

ตอนนี้ไม่ใช่เฟรชชี่แล้วอ่ะ แถมต้องไปหาเวลาไปออกกองอีก เพราะอยากเข้าเอกฟิล์ม ก็ได้แต่ยิ้มแห้ง คิดในใจ – ฉันจะรอดไหม แต่ช่วงนี้ยังไม่มีอะไรมาก งานยังไม่มีสั่งและยังขี้เกียจอ่านทบทวนของที่เรียนมาสัปดาห์แรกๆ คงพยายามเจียดเวลามาแปลเพลง หรือเขียนอะไรตามใจตัวเองลงบล็อก

กรรม

ไม่รู้จะเขียนอะไรแล้วสิ

Happy New Year 2018

ในปีนี้คาดหวังได้เลยว่า

  1. มีรีวิวคอนเสิร์ตแน่นอนค่ะ แน่ๆก็ Liam Gallagher กับ The xx  แถมปีที่ผ่านมาเนี่ย ก็แทบจะเป็นปีืทองของฝั่งศิลปินสากลเลยก็ว่าได้ที่มีผู้จัดมากมายพามา ขอให้ 2018 เป็นอีกปีทองของเรากันเถอะ
  2. เพลงที่จะแปล ส่วนใหญ่ขึ้นอยู่กับเรา ว่าตอนนั้นเราติดเพลงอะไรอยู่ XD แต่รีเควสกันมาได้นะ ถ้าฟังแล้วชอบเราจะแปลค่ะ
  3. ฟิคนี่ก็แล้วแต่อารมณ์เช่นกันเราอยากแต่งอะไร แต่ปัจจุบันก็มีแต่งแบบละในฐานที่เข้าใจไว้ว่ามันไม่ควรจะเอามาเผยแพร่ กับเรื่องสั้นที่จะลงจุลสารของชมรม
  4. รีวิวหรือเขียนเกี่ยวกับหนัง เสียดาย ปีที่ผ่านมาดูหนังเยอะนะ แต่ไม่รู้ว่าจะเขียนอะไร ปีนี้เลยตั้งปณิธานไว้ว่าถ้าดูหนังจะพยายามเขียนวิจารณ์หรือรีวิวจะได้เป็นการฝึกไปในตัว
  5. ส่วนเรื่องไร้สาระหรือบ่นชีวิตประจำวัน มาเรื่อยๆแน่นอน XD

สุดท้ายนี้

สุขสันต์วันปีใหม่ทุกท่านที่เข้ามาอ่านบล็อกเรานะคะ

tumblr_maewylCnKW1rb4ycco1_500

อัลบั้มใหม่ของมานิค!!

ใกล้ปีใหม่แล้วเนอะ ช่วงนี้ไม่ค่อยได้อัพบล็อกเพราะยุ่งกับการสอบ XD

เราเคยเขียนเมื่อปีที่แล้วกับโพสว่าวง manic street preachers มีความสำคัญกับชีวิตเรายังไง พูดง่ายๆว่าเป็นวงที่ shape ความคิดเราให้กลายเป็นแบบนี้ในปัจจุบัน

บ่นอยากให้เขามีอัลบั้มใหม่ในปีนี้

ไม่ปล่อยปีนี้

แต่ปล่อยปีหน้าว่ะคุณ!

packshot-manicstreetpreachers-resistanceisfutile_1510916705_crop_550x550
Resistance Is Futile (กำหนดวางแผง 6เมษา 2018)

Album Trailer

กรี๊ดสิค่ะพี่น้อง!

ล่าสุดทางวงก็ได้ปล่อยเพลงแรกจากอัลบั้มนี้อย่าง International Blue ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากศิลปินชาวฝรั่งเศสอย่าง Yves Klein ที่ขึ้นชื่นเรื่องการใช้สีน้ำเงินในงานศิลปะของเขา ถึงขนาดที่ว่าเฉดสีฟ้าที่เขาใช้ยังได้ชื่อว่า International Klein Blue เลยจ้า (เริ่มคุ้นๆแล้วสินะ)

article_all_about_yves_yves_klein_2000x1333
Yves Klein

แบบ lyrics video – รอ music video มาถึงจะแปล :3

น่าสนใจมากเลยว่าธีมอัลบั้มนี้จะออกมาเป็นอะไร เพราะล่าสุดทางวงก็เผยออกมาจะมีเพลงที่เกี่ยวข้องกับช่างภาพ Vivian Maier (มีสารคดีเกี่ยวกับเธออย่าง Finding Vivian Maier ที่นำเข้ามาโดย Documentary Club) และ Dylan Thomas นักกวีชาวเวลส์ ซึ่งเวลส์ก็เป็นบ้านเกิดของวงนี้

Vivan Maier

Dylan Thomas

อีกทั้งแนวทางอัลบั้มนี้ ที่วงได้ให้สัมภาษณ์ว่าจะเหมือนกับ Generation Terrorist ผสมกับ Everything Must Go – โอโห้ ยุครุ่งเรืองของวงทั้งสองอัลบั้ม กีตาร์ริฟฟ์เท่ๆกับเสียงอลังๆเหรอ?

can’t wait !