ลูซี่เปิดคอนเสิร์ตด้วยการเล่นเพลงจากอัลบั้มใหม่ No Words Left อย่าง Solo(w) และโดยมากเพลงที่เธอเล่นก็เป็นเพลงจากอัลบั้มล่าสุด ปนกับอัลบั้มที่สาม Something’s Changingและอัลบั้มแรก Like I Used to มีเพลงจากอัลบั้มสองแค่ Nebraska ซึ่งเป็นเพลงที่เราชอบมากจากอัลบั้มนั้น /กราบ
เสียงลูซี่ในการแสดงสดแทบจะไม่แตกต่างกับเสียงที่อัดในเพลง คนที่ชอบความ improvise อาจจะเฉยๆ แต่สำหรับเรา เราชอบความแน่นอน ไม่เหวอตอนฟังร้องสด – รู้ตัวอีกทีงานก็จบแล้ว เป็น Live สั้นๆ ประมาณชั่วโมงกว่า รวมกับ encore ที่เป็น encore แบบเหวอแดก! เธอบอกว่าเธอจะบอกทุกคนให้รู้ตัวก่อนว่าจะจบ แล้วให้ทุกคนปรบมือ ก่อนจะเล่นอีก เพราะเธอคิดว่าการเดินไปหลังเวที คนปรบมือแล้วเธออกมาอีกมันค่อนข้าง awkward สำหรับเธอ เพลงสุดท้ายที่เล่นคือ Song After Song ซึ่งนี่บ่อน้ำตาแตกจ้า…
ภาพที่ชินตาของหลายคนเกี่ยวกับริชชี่อาจเป็นภาพที่ริชชี่กำลังดีดกีตาร์อย่างเอาเป็นเอาตาย แต่ในความจริง ริชชี่เล่นกีตาร์ไม่เป็นจนกระทั่งในช่วงปี 1994 ถึงจะพยายามหัดเล่นอย่างจริงจังเพราะ Nirvana โดยให้ชอว์นสอนเล่น Come As You Are ให้ แต่นิคกี้ก็พูดว่า
When I cut myself I feel so much better. All the little things that might have been annoying me suddenly seem so trivial because I’m concentrating on the pain. I’m not a person who can scream and shout so this is my only outlet. It’s all done very logically – Richey, 1994
“ในส่วนของ S [ย่อมาจาก Suicide] เรื่องนั้นไม่เคยอยู่ในหัวผม และจะไม่มีวันทำด้วย เพราะผมแกร่งมากกว่านั้น ถึงผมจะอ่อนแอแต่ผมสามารถรับความเจ็บปวดได้”
In terms of the ‘S’ word, that does not enter my mind. And it never has done. In terms of An Attempt. Because I am stronger than that. I might be a weak person, but I can take pain – Richey, 1994
สิ่งที่ริชชี่ทิ้งไว้กับเพื่อนของเขาคือเนื้อเพลงซึ่งต่อมากลายเป็นวัตุดิบในการทำอัลบั้ม Journal For Plague Lovers เพลงที่ถูกทำไว้ก่อนหน้าที่จะหายไปโดยถูกบรรจุอยู่ในอัลบั้ม Everything Must Go และโน้ตสั้นๆที่เขียนว่า “I love you”
Personally, I still think he’s alive, although I’ve got no physical evidence or reason to think that he is. But I do…how can you accept that he’s dead, when there’s no body, no evidence whatsoever? It’s irrational – Nicky Wire
อดีต muse และภรรยาของผู้กำกับ french new wave ผู้ดังที่สุดในหมู่ฮิปสเตอร์ Jean-Luc Godard เจ้าของการเขียนขอบตา อายไลเนอร์สีและทรงผมหน้าม้า เรียกได้ว่าเป็นเอกลักษณ์ของเธอก็ได้
จขบ. รู้จักแอนนาช่วงพยายามทำตัวเป็น cinephile เสาะหาหนังที่คิดว่านอกกระแสมาดู จนตอนนี้เลิกพยายามแล้ว กลายเป็นปลางับเหยื่อ oscar bait แทน เห็นเธอจากหนัง Godard เรื่อง A Woman Is A Woman (Une Femme Est Une Femme) ที่ Godard ทำเป็นทริบิวต์ musical comedy หรือเป็น parody ก็ไม่แน่ใจ
สวยจนจขบ. หลง สุดท้ายต้องไปนั่งดูหนังเรื่องอื่นๆ ที่เธอแสดงนำ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นหนังของ Godard ส่วนตัว เราชอบ A Woman Is Woman สุด แต่ถ้าหนัง Godard ที่ใช้ประโยชน์จากเธอได้สุดคงไม่พ้น My Life to Live (Vivre Sa Vie) กับฉากร้องไห้ – คนอะไร ร้องไห้แล้วยังสวยอีก แต่แอนนาเธอพูดเลยว่า เกลียดฉากนี้มาก เพราะคิดว่าเธอไม่สวยเลย
รู้จักกับปู่ (ใช่ค่ะ ปู่ เขาอายุ 75 แล้วค่ะ) ผ่านคณะ Monty Python – นั่งดู Flying Circus และหนังตระกูล Monty Python อื่นๆ ก็ชอบเขามาก เป็นผู้ชายหน้าตาน่ารักอ่ะ ลุคดูไม่เข้ากับคนในกลุ่มเลย… แต่ก็เข้ากันได้ แถมเป็นตัวกลางหรือกาวเชื่อมความสัมพันธ์กับคนในกลุ่มด้วย ฉายา The Nicest Man In The World ไม่ได้มาเพราะโชคช่วย
เป็นคนรักการท่องเที่ยว มีรายการท่องเที่ยวเป็นของตัวเอง แล้วไม่ใช่เที่ยวเรื่อยเปื่อยนะ มีคอนเซป แต่ที่ดังสุดเลยคงเป็น Michael Palin: Around the World in 80 Days – เที่ยวรอบโลกภายใน 80 วัน ตามนิยายชื่อเดียวกันและไม่ใช้เครื่องบิน พยายามใช้เส้นทางเดียวกับในนิยาย
มาชอบจริงๆก็ตอนนั่งดู Stop Making Sense – บันทึกการแสดงสดที่เรียกว่า The Best มาก เราประทับใจในความคิด”นอกกรอบ”ของเขามากเลย เช่นการใส่สูทตัวใหญ่มากๆ เพราะอยากให้หัวเล็กลง!? และ Music Video ที่ตามมา
เฮ้ย เอาจริงป่ะ ใครเป็นแฟนเพลงวงอินดี้ ยังไงก็ต้องได้เห็นหน้าค่าตาคุณพี่มอซ ขวัญใจเด็กฮิปสเตอร์ กับทรงผมปอมปาดัวร์ ใส่แว่นตา พร้อมเพลง There Is The Light That Never Goes Out – เห็นหน้าครั้งแรก อารมณ์อาร์สติสมากๆ
ต้องยอมรับจริงๆ ว่ามอซเป็นหน้าตาของวง The Smiths ควบคู่กับเสียงกีตาร์ของ Johnny Marr – เราชอบที่หน้าตากับความสามารถในเขียนเพลง แค่นี้เลย แต่พฤติกรรมบางอย่างของเขาเองเราก็ชอบนะ เช่นการใส่เครื่องช่วยฟัง เพื่อให้คนที่ใส่รู้สึกไม่แปลกประหลาด
ในวงการไอดอลญี่ปุ่น ขอแค่คุณมีความน่ารัก และความสามารถพอประมาณ จะด๋อยไปเลยก็ได้ แต่ต้อง น่ารักหรือตรงไทป์คนในประเทศ คุณก็จะมีความนิยมสูงทันที ซึ่งความนิยมสูง = เงินไหลมาเทมา ผลกรรมเลยตกไปกับคนที่อยากเป็นไอดอล แต่น่าตาไม่น่ารัก (จริงๆ มันก็มีกรณีพิเศษ แต่มันก็ one in a million อ่ะนะ)
ก่อนจะเริ่มมหกรรมที่เรียกว่า finding miyu เพราะหลังจากตอนแรกพี่ไม่มีแอร์ไทม์ในรายการเลยค่ะ… และโดนไซเบอร์บูลลี่ฝ่ายเกาด้วยข้อหาแค่ว่าหน้าตาไม่สวย ฝ่ายไทยก็บูลลี่ด้วยการบอกว่าเขาหน้าตาหนูรัตน์… (well I wouldn’t expect much from the internet) แต่ก็อยู่ในรายการได้จนมาถึงรอบสุดท้าย
จริงๆก็กิมมิคของโพสต์นี้ด้วย Depeche Mode มีสารคดีของตัวเองที่ชื่อว่า 101 ซึ่งเข้ากันพอดีเลย โดยชื่อก็มาจาก Music for the Masses Tour ที่ทัวร์สุดท้ายก็เป็นรอบที่ 101 พอดีเลย (เป็นสารคดีที่แนะนำให้ดู เพราะมันดีจริงๆ)
ทำไมถึงชอบ? ก็เพลงมันสนุกอ่ะ! เหตุผลง่ายๆ แล้วสุดท้ายก็หลง emulator II boy เทพซ่าอย่าง Alan Wilder อีก / แต่ถ้าแบบยาวๆหน่อย เราเจอ Depeche Mode ช่วงก่อนปล่อยอัลบั้มใหม่อย่าง Spirit ไม่นานเท่าไร ประมาณท้ายปี 2016 ส่วนที่เหลือก็อย่างที่เห็น
เราเคยเขียนเมื่อปีที่แล้วกับโพสว่าวง manic street preachers มีความสำคัญกับชีวิตเรายังไง พูดง่ายๆว่าเป็นวงที่ shape ความคิดเราให้กลายเป็นแบบนี้ในปัจจุบัน
บ่นอยากให้เขามีอัลบั้มใหม่ในปีนี้
ไม่ปล่อยปีนี้
แต่ปล่อยปีหน้าว่ะคุณ!
Resistance Is Futile (กำหนดวางแผง 6เมษา 2018)
Album Trailer
กรี๊ดสิค่ะพี่น้อง!
ล่าสุดทางวงก็ได้ปล่อยเพลงแรกจากอัลบั้มนี้อย่าง International Blue ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากศิลปินชาวฝรั่งเศสอย่าง Yves Klein ที่ขึ้นชื่นเรื่องการใช้สีน้ำเงินในงานศิลปะของเขา ถึงขนาดที่ว่าเฉดสีฟ้าที่เขาใช้ยังได้ชื่อว่า International Klein Blue เลยจ้า (เริ่มคุ้นๆแล้วสินะ)